ถ้าพูดถึงคำว่า “นวัตกรรม” คุณนึกถึงอะไรบ้าง บางคนอาจจะคิดถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย บางคนอาจจะให้คำนิยามว่าเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ในบทความนี้เราจะได้เข้าใจถึงความหมายของนวัตกรรม เพื่อให้เราแยกได้ว่าสิ่งไหนเป็นนวัตกรรม สิ่งไหนไม่ใช่ ได้รู้ว่านวัตกรรมแบ่งได้กี่ประเภท ซึ่งนวัตกรรมแต่ละประเภทก็มีวิธีการพัฒนาหรือจุดเน้นที่แตกต่างกัน รวมไปถึงใครที่ต้องขอทุนกับโครงการภาครัฐ เราควรรู้ว่าเราเป็นนวัตกรรมประเภทใด หรือมีความเป็นนวัตกรรมในระดับใด นอกจากนี้จะมีเรื่องการกระจายตัวของนวัตกรรม
ในความหมายของนวัตกรรมนั้นมี 3 องค์ประกอบด้วยกัน นั้นคือ
- ความใหม่ (Novelty)
- การสร้างสรรค์ (Creativity)
- การสร้างคุณค่า (Value Creation)
ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เช่น ถ้ามี ความใหม่และการสร้างสรรค์ สิ่งนั้นอาจจะเป็นได้แค่สิ่งประดิษฐ์ (Invention) หรืองานวิจัย (Research) แต่เมื่อไรที่สิ่งประดิษฐ์หรืองานวิจัยสร้างคุณค่าได้ออกในเชิงพาณิชย์ พูดง่าย ๆ คือหาเงินได้นั้นเอง
มองในอีกมุมหนึ่ง การวิจัย (Research) เป็นการแปลง เงิน (Money) ให้กลายเป็น ความรู้ (Knowledge)
ส่วน นวัตกรรม (Innovation) เป็นการแปลง ความรู้ (Knowledge) ให้กลับกลายเป็น เงิน (Money) อีกครั้ง
ถ้ามองเป็นวัฐจักรแบบนี้ก็จะเกิดความยั่งยืนขึ้น แต่มีช่วงหนึ่งที่ประเทศไทยเรามุ่งเน้นการทำวิจัยแต่ไม่ได้สร้างนวัตกรรม เราก็อาจจะได้ยินความว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” กันมาบ้างก็เป็นในลักษณะที่ไม่สามารถต่อยอดไปเป็นนวัตกรรมได้นั้นเอง
Typology for Innovation
หลังจากที่เราเข้าใจความหมายของคำว่านวัตกรรมได้แล้ว มาดูกันต่อว่าแล้วนวัตกรรม ถูกแบ่งเป็นกี่ประเภทบ้าง ตามหลักของวิชาการที่เป็นสากลกันทั่วไป
Level of Novelty

การแบ่งตามระดับความใหม่ ใช้สองแกนในการแบ่งได้แก่
- ความใหม่ในมุม เทคโนโลยี
- ความใหม่ในมุม ตลาด
ตามภาพด้านบนขอไล่ไปที่ละส่วน โดยขอยกตัวอย่างเป็นโทรศัพท์มือถือในยุคที่มือถือเป็นปุ่มกดอยู่ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
- Incremental Innovation (เทคโนโลยีเก่า ตลาดเก่า) กลุ่มนี้จะเป็นการพัฒนาที่ปรับปรุงเล็กน้อยยังจัดตลาดกลุ่มเดิม เช่น มือถือก็ยังเป็นเหมือนเดิม อาจจะเครื่องเล็กลง แต่ก็ยังขายคนที่ใช้สำหรับสื่อสารอยู่
- Disruptive Innovation (เทคโนโลยีใหม่ ตลาดเก่า) คำนี้หลายคนคงเคยได้ยินบ่อย Disrupt ตามตัวเป็นการที่มีเทคโนโลยีใหม่จะมาแทนที่สิ่งที่เคยมีมาในตลาดเดิม เช่น มือถือที่เริ่มมีปากกาเขียนได้ แต่ก็ยังเจาะตลาดกลุ่มสื่อสารเดิมอยู่
- Architectural Innovation (เทคโนโลยีเก่า ตลาดใหม่) ฝั่งนี้จะไปเล่นกลุ่มการตลาดมากกว่า เป็นการเอาของเดิมปรับให้ขายในตลาดใหม่ได้ เช่น สมัยก่อนมือถืออาจจะมีคนบางกลุ่มไม่ใช้ เริ่มเอามือถือไปทำสีต่าง ๆ เพื่อให้ดึงดูดหรือเป็นในเชิงแฟชั่นมากขึ้น
- Radical Innovation (เทคโนโลยีใหม่ ตลาดใหม่) ถ้ามาถึงขั้นนี้ได้เรียกว่าอาจจะเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกได้เลย เช่น iPhone ที่เข้ามาด้วยเทคโนโลยีใหม่ Touchscreen และไม่ได้มองแค่ตลาดที่ใช้มือถือเพื่อการสื่อสารเหมือนอย่างเดิมอีกต่อไป
Four type of Innovation
การแบ่งนวัตกรรมสามารถทำได้อีกรูปแบบ โดยดูว่านวัตกรรมเกิดที่ส่วนไหน มีรายละเอียดดังนี้
- Product Innovation (นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์)
- รายละเอียด:
- นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับการสร้างหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่ให้คุณค่าหรือประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า
- อาจเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ การเพิ่มฟีเจอร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ตัวอย่าง:
- การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มีกล้องความละเอียดสูงขึ้นและฟีเจอร์การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย
- การพัฒนาบริการสตรีมมิ่งเพลงที่มีการปรับปรุงคุณภาพเสียงและอินเทอร์เฟซการใช้งานที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้น
- รายละเอียด:
- Process Innovation (นวัตกรรมด้านกระบวนการ)
- รายละเอียด:
- นวัตกรรมด้านกระบวนการเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงวิธีการผลิต การดำเนินงาน หรือการจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน หรือเพิ่มคุณภาพของผลผลิต
- การปรับปรุงกระบวนการสามารถส่งผลต่อการลดเวลาการผลิต เพิ่มความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด หรือทำให้กระบวนการต่างๆ มีความคล่องตัวมากขึ้น
- ตัวอย่าง:
- การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิตเพื่อลดเวลาและข้อผิดพลาดในการผลิต
- การใช้ซอฟต์แวร์การจัดการโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันภายในทีม
- รายละเอียด:
- Marketing Innovation (นวัตกรรมด้านการตลาด)
- รายละเอียด:
- นวัตกรรมด้านการตลาดเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหรือปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด วิธีการสื่อสารกับลูกค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดึงดูดลูกค้า
- นวัตกรรมนี้มุ่งเน้นที่การปรับปรุงวิธีการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเป้าหมาย
- ตัวอย่าง:
- การใช้การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์เพื่อสร้างการรับรู้และความสนใจในผลิตภัณฑ์
- การพัฒนาระบบสมาชิกที่ให้สิทธิพิเศษและส่วนลดพิเศษแก่ลูกค้าเพื่อสร้างความภักดี
- รายละเอียด:
- Organizational Innovation (นวัตกรรมด้านองค์กร)
- รายละเอียด:
- นวัตกรรมด้านองค์กรเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรม การจัดการ หรือรูปแบบการทำงานที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการตัดสินใจ
- การเปลี่ยนแปลงในด้านนี้สามารถช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น คล่องตัว และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
- ตัวอย่าง:
- การนำรูปแบบการทำงานแบบ Agile มาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
- การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการทำงานเป็นทีมและการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
- รายละเอียด:
10 Types of Innovation
10 Types of Innovation เป็นกรอบการวิเคราะห์ที่พัฒนาโดย Doblin, หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษานวัตกรรมในเครือ Deloitte ซึ่งแบ่งนวัตกรรมออกเป็น 10 ประเภทตามส่วนต่างๆ ของธุรกิจที่สามารถนำนวัตกรรมมาใช้ได้ กรอบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้แนวคิดใหม่ๆ ได้อย่างครอบคลุม

1. Profit Model Innovation (นวัตกรรมด้านโครงสร้างกำไร)
- รายละเอียด: การสร้างรูปแบบการหารายได้ใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงวิธีที่ธุรกิจได้รับกำไรจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- ตัวอย่าง: การสมัครสมาชิกบริการแทนการขายขาด
2. Network Innovation (นวัตกรรมด้านโครงสร้างเครือข่าย)
- รายละเอียด: การร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มเติมหรือเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ
- ตัวอย่าง: การร่วมมือระหว่างบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทสุขภาพเพื่อสร้างแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล
3. Structure Innovation (นวัตกรรมด้านโครงสร้างองค์กร)
- รายละเอียด: การปรับโครงสร้างภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือสร้างความยืดหยุ่นที่ดีขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
- ตัวอย่าง: การจัดโครงสร้างองค์กรแบบแบนเพื่อเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ
4. Process Innovation (นวัตกรรมด้านกระบวนการ)
- รายละเอียด: การพัฒนาหรือปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน หรือสร้างคุณภาพที่สูงขึ้น
- ตัวอย่าง: การใช้การผลิตแบบ Lean เพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิต
5. Product Performance Innovation (นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์)
- รายละเอียด: การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นหรือประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
- ตัวอย่าง: การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ในสมาร์ทโฟนเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า
6. Product System Innovation (นวัตกรรมด้านระบบนิเวศ)
- รายละเอียด: การสร้างระบบนิเวศหรือแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้หลายๆ ฝ่ายสามารถสร้างคุณค่าร่วมกันได้
- ตัวอย่าง: การสร้าง Microsoft 365 ที่รวม Product หลายตัวของ Microsoft ไว้ด้วยกัน ได้แก่ Microsoft Word, PowerPoint, Excel, และ OneNote เป็นตัน
7. Service Innovation (นวัตกรรมด้านบริการ)
- รายละเอียด: การพัฒนาหรือเพิ่มบริการใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้า
- ตัวอย่าง: การให้บริการลูกค้าผ่านแชทบอทตลอด 24 ชั่วโมง
8. Channel Innovation (นวัตกรรมด้านช่องทางการตลาด)
- รายละเอียด: การพัฒนาและสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายหรือการตลาดใหม่ๆ ที่ทำให้สินค้าหรือบริการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ตัวอย่าง: การขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแทนการขายผ่านร้านค้าปลีกเท่านั้น
9. Brand Innovation (นวัตกรรมด้านแบรนด์)
- รายละเอียด: การสร้างหรือปรับปรุงแบรนด์ให้สื่อสารคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์และสามารถดึงดูดลูกค้าได้
- ตัวอย่าง: การรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสื่อสารความยั่งยืนและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
10. Customer Engagement Innovation (นวัตกรรมด้านการมีส่วนร่วมของลูกค้า)
- รายละเอียด: การสร้างวิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าและสร้างความภักดีในระยะยาว
- ตัวอย่าง: การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
Innovation pattern

Pattern 1 Disrupt x Radical
รายละเอียด:
- นวัตกรรมในกลุ่มนี้มีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมหรือตลาดโดยการทำให้วิธีการทำงานเดิมหมดความสำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นนวัตกรรมที่สร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน (Radical)
- นวัตกรรมประเภทนี้มักเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจหรือสร้างตลาดใหม่ๆ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ธุรกิจหรือเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมล้าหลังไป
ตัวอย่าง:
- การพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารและการทำธุรกิจทั่วโลก
- การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่เปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไปจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน
Pattern 2 Disrupt x Increment
รายละเอียด:
- นวัตกรรมในกลุ่มนี้เป็นนวัตกรรมที่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในระยะยาว (Disruptive) การพัฒนานวัตกรรมประเภทนี้มักเป็นการปรับปรุงหรือพัฒนาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม
- แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด แต่ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในที่สุด
ตัวอย่าง:
- การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟนที่เริ่มจากการเพิ่มความสามารถทีละเล็กทีละน้อยก่อนที่จะทำให้โทรศัพท์มือถือแบบเดิมตกยุค
- การเปลี่ยนจากการขายเพลงแบบอัลบั้มไปสู่การขายแบบดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มอย่าง iTunes ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเพลง
Pattern 3 Sustain x Radical
รายละเอียด:
- นวัตกรรมในกลุ่มนี้เป็นนวัตกรรมที่มีลักษณะของการพัฒนาใหม่ๆ ที่ยังคงสานต่อหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้นอย่างมาก (Radical) แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการพื้นฐานของตลาดหรืออุตสาหกรรม
- มักจะเป็นนวัตกรรมที่เสริมสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และยังคงรักษาลูกค้าเดิมหรือดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:
- การพัฒนาหน่วยประมวลผลใหม่ที่มีความสามารถสูงกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งสนับสนุนการใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น การเล่นเกมหรือการประมวลผล AI
- การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้นสำหรับสมาร์ทโฟน เพื่อเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ยาวนานขึ้น
Pattern 4 Sustain x Increment
รายละเอียด:
- นวัตกรรมในกลุ่มนี้เป็นการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ ที่ช่วยเสริมสร้างหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือบริการเดิมให้ดีขึ้น (Incremental) โดยไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่
- นวัตกรรมประเภทนี้มีลักษณะการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้
ตัวอย่าง:
- การอัพเดทซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ที่เพิ่มฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ แต่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้น
- การปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น การเปลี่ยนวัสดุที่เบาขึ้นแต่ทนทานกว่าในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่
การเข้าใจและนำ Innovation Pattern เหล่านี้มาใช้ช่วยให้องค์กรสามารถวางกลยุทธ์นวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเลือกแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายของธุรกิจ
Diffusion of Innovation
Diffusion of Innovation หรือ การแพร่กระจายนวัตกรรม เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงกระบวนการที่นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกเผยแพร่และยอมรับในกลุ่มประชากรหรือองค์กรต่างๆ ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาโดยนักสังคมวิทยา Everett Rogers ในปี 1962 และได้กลายเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญในการศึกษาการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้

Rogers แบ่งกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมออกเป็น 5 กลุ่มตามลำดับเวลาที่พวกเขายอมรับนวัตกรรม:
- ผู้ริเริ่ม (Innovators): เป็นกลุ่มแรกที่ยอมรับนวัตกรรม มักเป็นคนที่สนใจในเทคโนโลยีและไม่กลัวความเสี่ยง
- ผู้ใช้กลุ่มแรก (Early Adopters): เป็นกลุ่มที่ยอมรับนวัตกรรมในช่วงแรก มักเป็นผู้มีอิทธิพลในกลุ่มสังคมและเป็นคนที่คนอื่นๆ มักจะเลียนแบบ
- ผู้ใช้กลุ่มส่วนใหญ่กลุ่มแรก (Early Majority): เป็นกลุ่มที่ยอมรับนวัตกรรมหลังจากที่กลุ่ม Early Adopters ใช้งานแล้ว พวกเขามักต้องการเห็นหลักฐานว่านวัตกรรมมีประสิทธิภาพก่อนที่จะนำมาใช้
- ผู้ใช้กลุ่มส่วนใหญ่กลุ่มหลัง (Late Majority): เป็นกลุ่มที่ยอมรับนวัตกรรมเมื่อมันได้กลายเป็นมาตรฐานแล้ว พวกเขามักมีความระมัดระวังและไม่ค่อยเสี่ยง
- ผู้ใช้กลุ่มสุดท้าย (Laggards): เป็นกลุ่มที่ยอมรับนวัตกรรมช้าที่สุด มักเป็นคนที่ไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงจากวิธีการที่เคยใช้งานมาก่อน
Technology Readiness Level (TRL)
TRL หรือ Technology Readiness Level เป็นมาตรวัดที่ใช้เพื่อประเมินความพร้อมของเทคโนโลยีใหม่ในแต่ละขั้นตอนการพัฒนา ตั้งแต่แนวคิดแรกเริ่มจนถึงการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมหรือเชิงพาณิชย์ โดย TRL ถูกพัฒนาโดย NASA และได้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในหลายๆ อุตสาหกรรมเพื่อประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งาน
ระดับ TRL มีทั้งหมด 9 ระดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:

- TRL 1: การสังเกตและรายงานหลักการพื้นฐาน (Basic principles observed and reported) – การเริ่มต้นจากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์หรือการสังเกตที่ยังไม่ได้ถูกทดลอง
- TRL 2: แนวคิดทางเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้งาน (Technology concept and/or application formulated) – การสร้างแนวคิดเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้จากการสังเกต
- TRL 3: การพิสูจน์ความเป็นไปได้ของแนวคิด (Analytical and experimental critical function and/or characteristic proof-of-concept) – การทดสอบขั้นต้นเพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดเป็นไปได้
- TRL 4: การทดสอบในห้องปฏิบัติการ (Component and/or breadboard validation in laboratory environment) – การพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีในห้องปฏิบัติการ
- TRL 5: การทดสอบในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (Component and/or breadboard validation in relevant environment) – การทดสอบเทคโนโลยีในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับการใช้งานจริง
- TRL 6: การทดสอบต้นแบบในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (System/subsystem model or prototype demonstration in a relevant environment) – การสร้างและทดสอบต้นแบบในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
- TRL 7: การทดสอบระบบเต็มรูปแบบในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (System prototype demonstration in an operational environment) – การทดสอบระบบเต็มรูปแบบในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง
- TRL 8: ระบบที่เสร็จสมบูรณ์และทดสอบแล้ว (Actual system completed and qualified through test and demonstration) – การพัฒนาระบบจนเสร็จสมบูรณ์และทดสอบเพื่อการใช้งาน
- TRL 9: ระบบที่ผ่านการตรวจสอบและนำมาใช้ในการปฏิบัติการจริง (Actual system proven through successful mission operations) – การนำระบบมาใช้งานจริงและผ่านการตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบ
ความสำคัญของ TRL ช่วยให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีและนักลงทุนสามารถเข้าใจได้ว่าเทคโนโลยีอยู่ในระดับใดของการพัฒนา และสามารถวางแผนการลงทุนและการพัฒนาต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ TRL ยังช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ และทำให้สามารถคาดการณ์ถึงโอกาสในการสำเร็จของโครงการได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันเวลาขอเงินทุนจากภาครัฐ จะมีการถามเพื่อตรวจสอบ TRL กันอย่างแพร่หลาย
บทความนี้ได้รับข้อมูลจากวิชา INNOVATION SYNTHESIS I 2300651
โดย Assoc. Prof. Kanet Wongravee และ Assoc. Prof. Somjai Pengprecha